อัศวิน วัฒนปราโมทย์ |
พลิกปูมผู้สร้างตำนาน‘พลูคาว’ อัศวิน วัฒนปราโมทย์
นักบริหาร‘เหรียญทองโลก’
ที่ผ่านมา...เราเคยได้ยินแต่กลยุทธ์ “ป่าล้อมเมือง”...แต่วันนี้ “โดกุดามิ” น้ำสมุนไพรไทย
“พลูคาวสกัด” ภายใต้การผลิตของ “โพรแลค” กลับมีกลยุทธ์เหนือชั้นกว่าในลักษณะการโตของแบรนด์ที่เป็นไปอย่างข้ามช็อตก้าวกระโดดจาก
“ภูธรไทย” ไปอยู่บนเวทีสากลโลกจนต้องเรียกว่า
“นานาชาติล้อมไทย” ไปแล้ว!!
รางวัลไทยเทศการันตีฝีมือ “อัศวิน”บริหาร “โพรแลค-โดกุดามิ”
รางวัลไทยเทศการันตีฝีมือ “อัศวิน”บริหาร “โพรแลค-โดกุดามิ”
ที่กล่าวอ้างได้เช่นนี้...ก็ด้วยวันนี้ “อัศวิน
วัฒนปราโมทย์” ผู้นั่งควบเก้าอี้ “กรรมการผู้จัดการ”
ทั้งบริษัทแม่และลูก คือทั้ง บริษัท โดกุดามิ เอเซีย จำกัด
หนึ่งในกลุ่มบริษัท โพรแลค (ประเทศไทย) จำกัด ได้กลายเป็นบุคคลตัวอย่างของสังคมไทย
ที่การันตีด้วยรางวัล “บุคคลคุณภาพประจำปี 2011” (Quality
Persons of The Year 2011) จากภาคธุรกิจของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์
ของมูลนิธิสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (มสวท.) ไปหมาดๆ
โดยก่อนหน้านี้ “อัศวิน” ขึ้นเวทีระดับนานาชาติในหลายประเทศเพื่อขึ้นรางวัลทั้งระดับ “เหรียญทอง” และระดับต่างๆ กับผลงานการบริหารจัดการองค์กร “โพรแลค” และ “โดกุดามิ” มาแล้วนับ ไม่ถ้วน อย่างในปี ค.ศ.2009 ก็ได้รับรางวัล “Best Trade Leader” จากองค์กร ESCAP ในปี 2011 ได้รับรางวัล 2 รางวัลซ้อนคือ International Golden Award for Commercial Prestige, SPAN และ The Majestic Five Continent for Quality and Excellence, ROMR, ITALY ไม่นับรวม กับอีก 3 รางวัลคุณภาพด้านการบริหารจัดการที่เขามีกำหนดเดินทางไปรับในประเทศต่างๆ ช่วงพฤศจิกายนที่ผ่านมาและธันวาคมนี้อีกด้วย
ทั้งนี้ “คณะกรรมการพิจารณารางวัลนานาชาติ”
คณะต่างๆ ล้วน “รู้จัก” และตามเก็บข้อมูลการบริหารจัดการธุรกิจของ
“อัศวิน วัฒนปราโมทย์” ในฐานะผู้บริหารบริษัทผู้ผลิตผลิตภัณฑ์แปรรูปจากพืชและสมุนไพรไทย
โดยใช้กระบวนการผลิตและแปรรูปในระดับโมเลกุล
ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยด้วยโรคร้ายต่างๆ
จนมีผลงานเป็นที่ยอมรับทั้งไทยและต่างประเทศ ผ่านการนำเสนอตีแผ่ของสื่อต่างประเทศที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลกอย่าง
“บูมเบิก” และ “ไฟแนนเชียลไทม์”
มาอย่างต่อเนื่องโดยก่อนหน้านี้ “อัศวิน” ขึ้นเวทีระดับนานาชาติในหลายประเทศเพื่อขึ้นรางวัลทั้งระดับ “เหรียญทอง” และระดับต่างๆ กับผลงานการบริหารจัดการองค์กร “โพรแลค” และ “โดกุดามิ” มาแล้วนับ ไม่ถ้วน อย่างในปี ค.ศ.2009 ก็ได้รับรางวัล “Best Trade Leader” จากองค์กร ESCAP ในปี 2011 ได้รับรางวัล 2 รางวัลซ้อนคือ International Golden Award for Commercial Prestige, SPAN และ The Majestic Five Continent for Quality and Excellence, ROMR, ITALY ไม่นับรวม กับอีก 3 รางวัลคุณภาพด้านการบริหารจัดการที่เขามีกำหนดเดินทางไปรับในประเทศต่างๆ ช่วงพฤศจิกายนที่ผ่านมาและธันวาคมนี้อีกด้วย
ย้อนเส้นทางความสำเร็จ “อัศวิน”นักบริหารตลาดข้าวส่งออกไทย
อย่างไรก็ตามแม้ในมุมมองส่วนตัวของ “อัศวิน” มองว่าการได้มาซึ่งรางวัล“เหรียญทอง” และรางวัล “บริหารจัดการ” และรางวัลบุคคลคุณภาพแห่งปีต่างๆ ของเขาหรือใครสักคนหนึ่งที่ได้รับมานั้น เป็นสิ่ง ที่เขาไม่ได้ไขว่คว้าวิ่งเต้นไล่หามา แต่เป็นการ “จัดให้” จากองค์กรนานาชาติเหล่านั้นมากกว่า เพราะตัวเขาไม่ได้ยื่นความจำนงประสงค์อะไรต่อองค์กรใดที่จะขอเข้าไปรับรางวัลดังกล่าว
แต่มุมมองอีกด้านหนึ่งก็ฉุกให้คิดคำนึงอย่างลึกซึ้งว่าการที่องค์กรระดับชาติทั้งในและต่างประเทศจะมอบ “รางวัลคุณภาพ” ให้ใครสักคนคงไม่ใช้วิธีการ“สุ่มเลือก” ไม่รู้ ที่มาที่ไปของบุคคลผู้ได้รับรางวัลเป็นแน่ หากแต่ทุกคนที่ได้รับรางวัลย่อมเป็นบุคคลที่มี “เส้นทางความสำเร็จ” ให้เป็น “แบบอย่าง” ที่ดีกับสังคมเป็นพื้นฐานปัจจัยในการถูกพิจารณาเลือกเป็นสำคัญที่สุด
เพราะหากย้อนปูมหลังเส้นทางชีวิตของ “อัศวิน วัฒนปราโมทย์” ที่ผ่านมาจะพบรอยความสำเร็จปรากฏขึ้นบนการดำเนินวิถีชีวิตและการงานของเขามาโดยตลอด แม้เจ้าตัวไม่ค่อยจะปรากฏเป็น “บุคคลในข่าว” อะไรมากมายในสังคมไทยเนิ่นนานมาแล้วก็ตาม นับตั้งแต่เขาตัดสินใจหันหลังให้ “อาชีพสื่อมวลชน” แล้วก้าวสู่เส้นทางอาชีพธุรกิจที่เริ่มต้นด้วยการเป็น “นักขาย” หรือ “นักการตลาด” นั่งเก้าอี้ผู้จัดการฝ่ายบริหารตลาดบริษัทในเครือสหพัฒนฯ เมื่อปี 2530 เป็นต้นมา
“เหตุผลที่ผมหันหลังให้วงการสื่อสารมวลชนเพราะรู้ถึงตรรกะอาชีพดีว่าชีวิตต้องอยู่อย่างไร และหากจะให้เพิ่งตัวเองได้ เราจะต้องมองหาอาชีพที่จะทำให้เราอยู่ได้ด้วยตัวเอง และก็ต้องเป็น นักการตลาด ผมจึงตัดสินใจไปศึกษาด้านธุรกิจต่อจบมาก็เริ่มที่เครือสหพัฒนฯ”
หลังจากฝึกปรือวิทยายุทธ์การตลาดจนแข็งแกร่งภายใต้ปีกการดูแลของ “ปู่เทียม” (เทียม โชควัฒนา) ในสมัยนั้น โดยทำงานร่วมทีมกับลูกๆ ของปู่เทียมมาอย่างใกล้ชิด จนกระทั่งต่อมาฝีมือการบริหารจัดการงานตลาดให้เครือสหพัฒน์ที่มีสินค้าครอบคลุมสากกะเบือยันเรือรบกระจายไป ทั่วทุกภูมิภาคประเทศไทย ก็เป็นที่เข้าตาต้องใจของ “เสี่ยใหญ่” (วิญญ คุวานันท์) เจ้าของกลุ่มธุรกิจ “โค้วยุ่ฮะ” ที่ชวนเขามาร่วมงานแล้วเปลี่ยนไลน์ธุรกิจไปทำตลาดข้าวส่งออกต่างประเทศ
และแล้วในช่วงปี 2533-2534 “อัศวิน” ก็ได้สร้างประวัติศาสตร์ “ส่งออกข้าว” ให้กับตัวเองและวงการธุรกิจขึ้น เป็นครั้งแรก เมื่อเขาสามารถส่งออกข้าวให้กลุ่มโค้วยุ่ฮะ ได้มากกว่า 4 หมื่นตันต่อเดือนท่ามกลางวิกฤตสงครามอ่าวเปอร์เซีย ในระยะเวลาการศึกษาธุรกิจข้าวทุกซอกทุกมุมเพียง 55 วัน ก่อนบินเปิดตลาดในตะวันออก กลาง แล้วก็ตามติดด้วยออเดอร์ล็อตใหญ่แบบถล่มทลาย
“ตรงนี้ส่วนหนึ่งมาจากซิกเซ็นส์นักข่าวบวกกับมิตรภาพเพื่อนฝูงในต่างประเทศที่ผมมีมานาน ผมเชื่อว่าวงการข้าวตอนนั้นใครก็ได้ยินชื่อเสียงของผม และยังอีก 2 บริษัทอย่างเพรสซิเดนท์ อะกรีเทรดดิ้ง และสุริยะโปรดิวส์ ที่สร้างขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของวงการ แล้วผมก็ยังเป็นกรรมการบริหารสมาคม ผู้ส่งออกข้าวต่างประเทศ และกรรมการกำหนดราคาข้าว สภาหอการค้าไทยอีกด้วย”
เปิดตำนาน “พลูคาว” จุดประกาย “อุตสาหกรรมแปรรูปสมุนไพรไทย”
แต่พอชีวิตก้าวผ่านเวทีธุรกิจระดับโลกซึ่งล้วนต่างทุ่มเทกลยุทธ์กระโจนแย่งแข่งตลาดกันจน “พ่อค้า” หลายคนลืมคิดถึงจริยธรรมมากขึ้น “อัศวิน” ก็เริ่มคิดกลับย้อนไปถึง “จุดพอดี” และเป็นอยู่อย่าง “พอเพียง” เขาจึงหันหลังให้วงการุรกิจค้าข้าวอีกครั้ง แล้วย้ายครอบครัวไปปักหลักอยู่ทางเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมๆ กับเริ่มต้นธุรกิจร้านอาหารและไอศกรีมแทน
“หลังจากนั้นไปอยู่เชียงใหม่เอาลูกกลับไปเรียนที่นั้นตั้งแต่อายุ 3 ขวบวันนี้ 18 ปีแล้ว ตอนนั้นก็ไปเปิดร้านอาหารร้านและร้านไอศกรีม หวังกำไร แค่วันละ 100 บาท แต่ในที่สุดก็ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ เป็นร้านไอศกรีมเนสเล่ 200 โต๊ะ ที่ทำอย่างนั้นก็คิดถึงการบริหารจัดการให้ธุรกิจมันคุ้มทุนด้วยตัวมันเอง เลยต้องมองถึงกลุ่มลูกค้าที่เป็นกลุ่มเยอะๆ เป็นหลัก”
แต่ด้วย “อัศวิน” เป็นคนมี “ประสบการณ์” มากมายหลากหลายทำให้ชื่อเสียงของเขาในกลุ่มคนวงในธุรกิจต่างๆ ยังกล่าวถึงไม่ขาดหาย และมักมี “เจ้าของธุรกิจ” น้อยใหญ่ที่ประสบปัญหาการบริหารจัดการหนี้สินเข้าไปปรึกษาหารือหาทางออกอยู่เป็นประจำกระทั่งวันหนึ่งเขาก็ได้รู้จักกับเจ้าของบริษัทผู้ผลิตเครื่องมือแพทย์แล้ว ได้เข้าไปร่วมเป็น “ที่ปรึกษา” แก้ปัญหาเอ็นพีแอลจนกระทั่งมีการถ่ายโอนไปสู่การบริหารจัดการของบริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.)
แล้ว ณ จุดนี้เองที่ “อัศวิน” ต้อง หวนกลับเข้าสู่วงการธุรกิจอีกครั้งเมื่อต้อง ตกกระไดพลอยโจนกับการเข้ามารับตำแหน่งกรรมการบริหาร บริษัท ที ไอ เอส เอฟ จำกัด (ที่ผลิตเครื่องมือแพทย์ เพื่อส่งออกต่อมาเปลี่ยนแปลงกิจการเป็นโรงงานแปรรูป สมุนไพร) ทั้งนี้เริ่มต้นด้วยแนวคิดเพื่อให้บริษัทอยู่รอดได้ต่อไปจึงมองหาไลน์ธุรกิจ อื่นเพิ่ม กระทั่งได้ร่วมมือกับกลุ่มคณะอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่วิจัยสมุนไพรไทย “พลูคาว” ขึ้น
อย่างไรก็ตามช่วง 10 ปีที่ผ่านมา “สมุนไพรไทย” ระยะแรกยังไร้แนวทางการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ จนเมื่อ 27 ตุลาคม 2545 “อัศวิน” ได้มีโอกาสกล่าวในที่ประชุมคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรมของรัฐสภา ซึ่งเป็นการประชุมผู้ปลูกสมุนไพรของภาคเหนือที่โรงแรมภูคำเชียงใหม่ ในฐานะตัวแทน 1,500 คน เรื่อง “ผู้ปลูกและแปรรูปสมุนไพรจะเป็นไปทิศทางใด”
แล้วได้สรุปขอความร่วมมือให้ภาครัฐสนับสนุนงบงานวิจัยเพื่อนำไปมาเป็นหลักฐานวิชาการสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคยอมรับสมุนไพรไทยมากขึ้นจนเป็นที่มาของการเริ่มต้นงานวิจัยอย่างเป็นรูปธรรมขึ้นมาถึงปัจจุบัน
“ตอนนั้นไม่มีใครคิดออก..แต่ผมเอาประสบการณ์ทั้งหมดทั้งที่ไปมาในหลายประเทศและหลักการทำตลาดในบ้านเราของผมที่ผ่านมาเป็นแนวทางปราศัย แล้วก็พูดทิ้งท้ายว่าต้องจำไว้ว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะมีอีกหนึ่งอุตสาหกรรมเกิดขึ้นในสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย นั่นก็คือ อุตสาหกรรมแปรรูปสมุนไพรไทย แล้ววันนี้ก็เกิดขึ้นแล้วจริงๆ”
“โพรแลค-โดกุดามิ” นำร่องขายตรงไทยเข้าตลาด “มหาชนเทศ”
ในขณะที่ความคืบหน้าของการนำ “งานวิจัยพลูคาว” มาแปรรูปเป็น “สมุนไพรแปรรูป” นั้น “อัศวิน” ได้พยายามที่จะนำสมุนไพรแปรรูปดังกล่าวที่ผ่านการทดลองจนได้ผลดีแล้วไปสู่ “ผู้ป่วย” ตามความตั้งใจช่วยเหลือผู้ขาดทุนทรัพย์ ทั่วประเทศ แต่ด้วย “แนวคิด” กับการ “ปฏิบัติ” ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ไม่สามารถดำเนินการได้จึงได้ยุติความร่วมมือกันไป แล้วเขาก็ไปร่วมมือกับมหาวิทยาลัยขอนแก่นแทน
ปัจจุบัน “อัศวิน” ได้ก่อตั้ง บริษัท โพรแลค (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นมาเป็น “ผู้ผลิต” ผลิตภัณฑ์ “โดกุดามิ” และ “หยี่ ซิง ฉาว” ซึ่งเป็นสมุนไพรไทยแปรรูป มาจาก “พลูคาว” โดยขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ของไทยแล้วยังได้รับ “US.FDA” จากประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย ดังนั้นการทำตลาดสมุนไพรไทยแปรรูปทั้ง 2 จึงกระจาย ไปเกือบทุกประเทศในอเมริกาและยุโรป โดยเฉพาะที่เยอรมันได้นำ “โพรแลค อินเตอร์เนชั่นแนล” เข้าจดทะเบียนในตลาด หลักทรัพย์เป็นผลสำเร็จแล้วเมื่อไตรมาส 3 ของปีนี้ที่ผ่านมา
“โดยส่วนตัวแล้วยังไม่อยาก เข้าตลาดหลักทรัพย์ใดแต่ด้วยปัจจัยการเติบโตทำให้เราไปโดยไม่รู้ตัว ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำหลายฝ่ายมาโดยตลอด เรา ก็ยินดีปฏิบัติตามคำแนะนำของเขา ซึ่ง มันก็ดี ทำให้เรามีทุนมาสร้างโรงงานและผลิตสมุนไพรให้ผู้ป่วยได้เร็วขึ้น และโรงงานกำลังจะได้รับ ISO 2008 หลังจากก่อนหน้านี้ก็ได้ GMP ไปแล้ว”
และเท่าที่ทราบขณะนี้บริษัทที่ดำเนินธุรกิจขายตรงน้ำพลูคาวของ “อัศวิน” กำลังได้รับการติดต่อให้นำเข้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง พร้อมกันนั้นยังมีบริษัทหลักทรัพย์ 2 แห่งในประเทศไทยติดต่อนำ “กลุ่มบริษัทโพรแลค” เข้า จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศไทยอีกด้วย นับเป็นช่วงจังหวะการเติบโตของ กลุ่มบริษัทที่น่าจับตาอย่างยิ่งในอนาคตอันใกล้นี้
“อัศวิน” กล่าวยอมรับว่าที่ผ่านมา การเติบโตจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปตามกำลังผลิตที่ได้ 5,000 ขวดต่อวัน แต่หลัง ต้นปี 2555 เป็นไปจะมีการเพิ่มกำลังผลิต ขึ้นไปจนถึง 100,000 ขวดต่อวัน และเป็น การขยายฐานการผลิตตามความต้องการตลาดที่มีมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ ซึ่งมีจำนวน “ผู้ป่วยโรคเอดส์” และ “มะเร็ง” สูงมาก ล่าสุดทางกลุ่มโพรแลค กำลังเตรียมเข้าไปทำตลาดใหม่กลุ่มทวีป อัฟริกาใต้ต่อ คาดว่าจะดำเนินการได้ในต้น ปีหน้า ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากกลุ่มเอ็นจีโอ “วานาเกา” (WANAGAO) ที่ได้เชิญให้เขาไปบรรยายในโอกาส “วันเอดส์โลก” 1 ธันวาคม 2554 แต่ด้วยติดภารกิจจึงไม่ไป ร่วมงานดังกล่าว
ถึงตรงนี้หลายคนก็คงรู้จัก “อัศวิน วัฒนปราโมทย์” บิ๊กบอสตัวจริงผู้สร้างตำนานสมุนไพรไทยแปรรูป “น้ำพลูคาวสกัด” อันเลื่องชื่อในคุณค่าคุณประโยชน์ และคุณภาพของ “โดกุดามิ” และ “หยี่ ซิง ฉาว” กันมากขึ้น และจะยิ่งมากขึ้นนับจากต้นปี 2555 นี้เป็นต้นไปกับตำแหน่ง “นายกสมาคม” ของสมาคมอุตสาหกรรมขายไทยคนใหม่ ซึ่งเขาได้ฝากข้อคิดทิ้งท้ายไว้ว่า
ธุรกิจขายตรงวันนี้...ไม่ควรสร้างภาพลักษณ์ให้ใหญ่โตจนทำให้คนที่ไม่เข้าใจธุรกิจอาจมองว่าขายตรงเป็นธุรกิจที่ “จับต้องไม่ได้” ซึ่งจะเป็นหนทางทำลายธุรกิจโดยรวม หากค่อยๆ ดำเนินธุรกิจบนความเป็นจริงค่อยขยับฐานะความมั่นคงด้วยคุณภาพสินค้าและการบริหารจัดการที่ดีก็จะเป็นการช่วยกันดูแลธุรกิจให้ยั่งยืนและเป็นที่ยอมรับของสังคมสูงสุดอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง!!
อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 8 ฉบับที่ 217 ปักษ์แรก ประจำวันที่ 1-15 ธันวาคม 2554
ที่มาจาก http://www.sumret.com/content.php?id=3101&group_id=14
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น