วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โดกุดามิกับโรคเอดส์

โรคเอดส์คืออะไร 
               โรคเอดส์เป็นโรคที่เกิดจากไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า   ไวรัสเอดส์  หรือมีชื่อภาษาอังกฤษว่าHIV(เอช-ไอ-วี) ซึ่งย่อมาจาก
Human immunodeficiency Virus   เมื่อไวรัสเอดส์เข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปภายในเซลล์บางชนิดของร่างกาย  จะมีการฟักตัวระยะหนึ่งซึ่งอาจนานเป็นปีหรือนานกว่า 10 ปี  โดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ  ต่อมาไวรัสจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นและแพร่กระจายไปทั่วร่างกาย  จนสามารถทำลายภูมิคุ้มกันของร่างกายให้เสื่อมหรือเสียไปเรื่อยๆ  ผู้ป่วยจึงมักมีการติดเชื้อโรคต่างๆได้ง่าย  ในที่สุดร่างกายก็ไม่สามารถทนทานได้  และจะเสียชีวิตในที่สุด

             เอดส์ หรือ กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม   (Acquired Immune Deficiency Syndrome - AIDS) เป็นกลุ่มอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเพราะร่างกายได้รับเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ที่เป็นแหล่งสร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคลดน้อยลง จึงทำให้การติดเชื้อโรคได้ฉวยโอกาสแทรกซ้อนเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น เช่น วัณโรคในปอด หรือต่อมน้ำเหลือง เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา โรคผิวหนังบางชนิด หรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ ซึ่งสาเหตุของการเสียชีวิตมักเกิดขึ้นจากโรคติดเชื้อฉวยโอกาสต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้อาการจะรุนแรง และเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว

              ปัจจุบันเอดส์มีการตรวจพบทั่วโลก และประมาณการว่ามีผู้เสียชีวิตเนื่องจากเอดส์ อย่างน้อย 25 ล้านคน ตั้งแต่ถูกค้นพบในปี พ.ศ. 2524 (ค.ศ. 1981) นับเป็นโรคที่มีอันตรายสูงโรคหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ ในปี พ.ศ. 2548 ประมาณการว่ามีผู้ติดเอดส์ประมาณ 3.1 ล้านคน (ระหว่าง 2.8 - 3.6 ล้าน) ซึ่ง 570,000 คนของผู้ป่วยเอดส์เป็นเด็ก (UNAIDS, 2005)

ความหมายของเอดส์
                  คำว่า เอดส์ มาจากภาษาอังกฤษว่า AIDS ซึ่งย่อมาจากคำเต็มว่า Acquired Immune Deficiency Syndrome ซึ่งแต่ละคำมีความหมายดังนี้
  • A = Acquired หมายถึง เกิดขึ้นภายหลัง ไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิดหรือสืบทอดทางกรรมพันธุ์
  • I = Immune หมายถึง ระบบภูมิต้านทานหรือระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
  • D = Deficiency หมายถึง ความบกพร่อง การขาดไปหรือเสื่อม
  • S = Syndrome หมายถึง กลุ่มอาการคือมีอาการหลาย ๆ อย่างไม่เฉพาะที่ระบบใดระบบหนึ่ง
รวมแปลว่า “กลุ่มอาการภูมิคุ้มกันเสื่อม” เป็นกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสเอชไอวี เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปทำลายเม็ดเลือดขาว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย เสื่อมหรือบกพร่องลง เป็นผลทำให้เป็นโรคติดเชื้อหรือเป็นมะเร็งบางชนิดได้ง่ายกว่าคนปกติ อาการมักจะรุนแรง เรื้อรัง และเสียชีวิตในที่สุด

สาเหตุการติดเชื้อ
เชื้อไวรัสเอชไอวีพบในเลือดและสารคัดหลั่งหลายชนิดของร่างกาย ได้แก่ น้ำอสุจิ เมือกในช่องคลอดสตรี น้ำนม น้ำลาย และอาจพบได้ในปริมาณน้อยๆ ในน้ำตาและปัสสาวะ เมื่อพิจารณาจาก แหล่งเชื้อแล้วจะพบว่าเชื้อไวรัสเอชไอวีติดต่อได้ หลายวิธีคือ
1. การมีเพศสัมพันธ์ เกิดขึ้นได้ทั้งการมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน และกับเพศตรงข้าม
2. การรับเลือดและองค์ประกอบของเลือด การปลูกถ่ายอวัยวะรวมทั้งไขกระดูกและน้ำอสุจิที่ใช้ผสมเทียมซึ่งมีเชื้อ แต่ในปัจจุบันปัญหานี้ได้ลดลงไปจนเกือบหมด เนื่องจากมีการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีในผู้บริจาคเหล่านี้ รวมทั้งคัดเลือกกลุ่มผู้บริจาคซึ่งไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เช่น ไม่รับบริจาคเลือดจากผู้ติดยาเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น เป็นต้น
3. การใช้เข็มหรือกระบอกฉีดยาเสพติดร่วมกัน และของมีคมที่สัมผัสเลือด
4.จากมารดาสู่ทารก ทารกมีโอกาสรับเชื้อได้หลายระยะ ได้แก่ เชื้อไวรัสแพร่มาตามเลือดสายสะดือสู่ทารกในครรภ์ ติดเชื้อขณะคลอด จากเลือดและเมือกในช่องคลอด ติดเชื้อในระยะเลี้ยงดูโดยได้รับเชื้อจากน้ำนม จะเห็นได้ว่าวิธีการติดต่อเหล่านี้เหมือนกับไวรัสตับอักเสบบีทุกประการ ดังนั้นถ้าไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ก็จะไม่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ด้วย

การรักษา      
          ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีใช้ทั่วไป และไม่มีวิธีรักษาการติดเชื้อเอชไอวีหรือโรคเอดส์ให้หายขาด วิธีป้องกันโรคอย่างเดียวที่มีใช้อยู่คือการหลีกเลี่ยงการได้รับเชื้อไวรัส หรือถ้าได้รับมาแล้วก็ต้องใช้ยาต้านไวรัสทันทีหลังจากการได้รับเชื้อ หรือ post-exposure prophylaxis (การป้องกันโรคหลังการสัมผัส - PEP) การป้องกันโรคหลังการสัมผัสนี้ต้องให้ยาติดต่อกันสี่สัปดาห์โดยมีตารางเคร่งครัด และมีผลข้างเคียงเช่น ท้องเสีย ความรู้สึกไม่สบาย คลื่นไส้ และ อ่อนเพลีย

สมุนไพรพลูคาว
             เป็นพืชที่พบในประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผักพลูคาวที่ใต้ใบจะมีสีแดงอ่อนจนถึงสีแดงเข้มชาวบ้านในเขตภาคเหนือจะเรียกว่า ผักคาวตอง เพราะต้นและใบจะมีกลิ่นรุนแรงคล้ายคาวปลา ส่วนภาคกลางจะเรียกว่าผักพลูคาว นิยมนำใบมาเป็นผักเคียงใช้บริโภคสดกับอาหารได้
             พลูคาวเป็นพืชสมุนไพรมีการใช้ในการรักษาโรคในหลายประเทศ เช่น การประเทศจีน  เกาหลี  ญี่ปุ่น  อินเดีย ในประเทศเกาหลีใช้สมุนไพรพลูคาวรักษาโรคความดันโลหิตสูงและ ในประเทศไทยโดยเฉพาะทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ใช้สมุนไพรพลูคาวเพื่อดับพิษไข้  ขจัดสารพิษ  รักษาแผลในกระเพาะอาหาร รักษาอาการอักเสบของผิวหนัง แผลผ่าตัด แผลเน่าเบาหวาน ปอด หลอดลมอักเสบ ไซนัสอักเสบ ภูมิแพ้ ไอเรื้อรัง   โรครักษาโรคติดเชื้อจากไวรัส เช่น กามโรค เอดส์   ทำให้น้ำเหลืองแห้ง  แผลแห้ง  แก้โรคไขข้อ  แก้โรคผิวหนัง  ขับปัสสาวะ  แก้อาการบวม  ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ แก้ริดสีดวงทวาร

ข้อมูลอ้างอิง 1. จากหนังสือ ผักคาวตอง สถาบันวิจัยสมุนไพร
                              กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
                         2. จากหนังสือ THE ASEAN JOURNAL OF RADIOLOGY

ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมโดกุดามิสกัดเข้มข้นผลิตจากสมุนไพรพลูคาว 99.3%
ภาพผู้ป่วยติดเชื้อ HIV ที่ใช้ผลิตอาหารเสริมโดกุดามิ   

                                        

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โปรไบโอติกในโดกุดามิเพื่อสุขภาพดี


โปรไบโอติก
โปรไบโอติก (Probiotics) คืออะไร
โปรไบโอติก คือ สารชีวภาพที่จุลินทรีย์โปรไบโอติกสร้างขึ้นมาและช่วยกระตุ้นส่งเสริมการมีชีวิต ซึ่งตรงกันข้ามกับคำว่า แอนตี้ไบโอติก ที่เป็นสารทำลายสิ่งมีชีวิต
จุลินทรีย์โปรไบโอติก คืออะไร จุลินทรีย์โปรไบโอติก คือ จุลินทรีย์กลุ่มดีมีประโยชน์ส่งเสริมการมีชีวิตที่สมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิต


ประโยชน์ของจุลินทรีย์โปรไบโอติก
            ให้สารโปรไบโอติกที่เป็นประโยชน์หลายชนิด สร้างสมดุลของเมตะบอลิสม์ในร่างกาย จึงช่วยสร้างสมดุลให้ร่างกายโดยรวม เพิ่มระดับภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายมีความแข็งแรง สามารถต่อสู้เชื้อโรคได้ดี ให้สารแบคเตอริโอซิน ที่เลือกทำลายจุลินทรีย์ที่ก่อโรคในร่างกาย ช่วยลดอาการอาหารเป็นพิษ ปรับสมดุลของระบบย่อยอาหาร ช่วยขจัดสารพิษ ช่วยทำให้ผิวพรรณผ่องใส ลดการเกิดสิว ฝ้า ช่วยต้านการเกิดมะเร็ง ช่วยลดความวิตกกังวลและคลายความซึมเศร้า ช่วยลดคอเลสเตอรอล สาเหตุที่ก่อให้เกิดภาวะเส้นเลือดหัวใจและเส้นเลือดในสมองตีบ อุดตัน ช่วยให้ร่างกายเพิ่มการดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็ก ช่วยลดความเสียงต่อการเกิดโรคกระดูกผุ

เชื้อชูชีพ ( Probiotics)
               โปรไบโอติกหรือแบคทีเรีย (จุลชีพ) ทีเป็นมิตรหรืออาจเรียกว่า เชื้อชูชีพ เพราะจุลชีพหรือแบคทีเรียที่อาศัยเป็นปกติในลำไส้ ( normal floral )  โดยเฉพาะกลุ่มแลคโตบาซิลลัส ( lactobacillus )  ซึ่งเจริญได้ดีในน้ำนมนั้นช่วยส่งเสริมภูมิคุ้มกัน นับเป็นกลไกที่ธรรมชาติมีไว้เพื่อสร้างสมดุลให้ชีวิตตามธรรมชาติเรารับประทานอาหารที่เสริมสร้างสุขภาพ แบคทีเรียที่เป็นมิตรที่อาศัยอยู่ในลำไส้จะเก็บกินเชื้อรา ( yeast ) ที่เกิดขึ้น  เมื่อเรารับประทานอาหารที่มีน้ำตาลและไขมันมาก อาหารที่มีเส้นใย ( Fiber ) น้อย รวมทั้งการรับประทานยาปฎิชีวนะ เป็นการทำลายแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในลำไส้ หรือแม้แต่การมีความเครียดด้วยทั้งหมดนี้ทำให้สมดุลระหว่างแบคทีเรียที่ดี และไม่ดีที่เสียไป ผลเสียคือทำให้เชื้อราในลำไส้ของเราเจริญเติบโตเป็นจำนวนมาก และแบคทีเรียที่ดีที่หล่อเลี้ยงระบบภูมิคุ้มกันผ่านเยื่อบุของลำไส้ลดจำนวนน้อยลงไป ยีสต์จึงเจริญเติบโตแล้วมาควบคุมลำไส้แทน แบคทีเรียโปรไบโอติก  ทำให้เกิดสภาวะที่เรียกว่า  dysbiosis  ( สิ่งมีชีวิตที่ผิดเพี้ยนมาอาศัยอยู่และเราอย่าลืมว่าระบบภูมิคุ้มกันประมาณ 40 % นั้นอยู่ที่บริเวณลำไส้ของเรา เพราะฉะนั้น เราจึงควรรับประทานอาหารประเภทที่มีกากใย ( Fiber ) ให้มาก งดน้ำตาลทรายขาว รับประทานน้ำสะอาดมาก ๆ  แต่สังคมไทยเราทุกวันนี้จะอยู่ในสภาวะที่เร่งรีบตั้งแต่เด็ก คือ ตื่นเช้าต้องรีบไปโรงเรียนผู้ปกครองต้องรีบไปส่ง คนในวัยทำงานก็ต้องรีบผจลฝ่าการจราจรที่ติดขัดเพื่อรีบไปทำงานให้ทัน จนกระทั่งทุกคนลืมความสำคัญของการดำรงชีวิตที่ดี เพื่อความอยู่รอด แต่สุดท้ายทุกคนก็ไม่รอดจากการเจ็บป่วยจากสาเหตุของ การรับประทานอาหารที่เอาสะดวกไว้ก่อน ภาวะของความเครียดที่เกิดจากเหตุผลต่าง ๆ ทำให้ระบบขับถ่ายเราไม่ได้ขับถ่ายทุกวัน ซึ่งสิ่งที่เราทุกคนควรจะปฎิบัติตัวเพื่อมีสุขภาพที่ดี คือ ขับถ่ายทุกเช้า หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันในนม รับประทานผัก และรับประทานโปรไบโอติกเสริมถ้าหากเราไม่สามารถปฎิบัติตัวได้เพื่อหลีกเลี่ยงความเสื่อมของเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเราในระยะยาว ซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคต่าง ๆ 

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โดกุดามิกับโรคมะเร็ง


            มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เซลล์เจริญ (แบ่งตัว) อย่างผิดปกติ การที่เซลล์เปลี่ยนสภาพไปจากปกติจะไม่อยู่ในการควบคุมวัฏจักรการแบ่งตัว รุกรานเนื้อเยื่อข้างเคียง หรืออาจแพร่กระจายไปยังที่อื่น ๆ (การแพร่กระจายของเนื้อร้าย) ลักษณะทั้งสามประการที่กล่าวมานี้เป็นคุณสมบัติของเนื้อร้ายซึ่งต่างจาก เนื้องอก ซึ่งไม่ร้ายแรงเพราะไม่รุกรานหรือแพร่กระจาย และขนาดจะไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มะเร็งทั้งหมดยกเว้น มะเร็งเม็ดเลือดขาว จะมีลักษณะเป็นก้อนเนื้อ    มะเร็งเกิดขึ้นได้โดยสารพันธุกรรมหรือยีนซึ่งควบคุมการทำงานของเซลล์ผิดปกติไป โดยที่ความผิดปกติของสารพันธุกรรมนั้นเป็นผลมาจากสารก่อมะเร็ง อาทิ ยาสูบ ควัน รังสี สารเคมีอย่างอื่น หรือ เชื้อโรค ยีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมะเร็งอาจเกิดขึ้นได้อย่างไม่จำเพาะเจาะจงระหว่างการทำสำเนาของดีเอ็นเอ หรืออาจถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ซึ่งสามารถตรวจพบได้ในทุกเซลล์หลังจากคลอด การถ่ายทอดทางพันธุกรรมของมะเร็งนั้นได้รับอิทธิพลจากปัจจัยอย่างอื่นๆ ด้วย

               นักวิจัยของคณะเทคโนโลยีอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยมาเลเซียได้พบว่า ฟักทองสามารถสะกดเซลล์มะเร็งเพราะฟักทองมี “กรดโปรไพโอนิค” กรดนี้ทำให้แป้งเป็นของที่ไม่อาจจะย่อยได้ จึงหมักพวกแบคทีเรียเอาไว้ และบ่อน ทำลายเซลล์มะเร็งให้อ่อนแอ

               นักวิจัยที่อังกฤษ ดร.กิลเลียน รีฟส์ จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ศึกษาพบว่าผู้หญิงวัยกลางคนในอังกฤษราว 6,000 คน เป็นมะเร็งมากขึ้นทุกปี สาเหตุมาจากความอ้วน โดยงานวิจัยพบความเชื่อมโยงระหว่างน้ำหนักกับโอกาสเสี่ยงที่เป็นมะเร็งนั้น ขึ้นอยู่กับช่วงอายุของผู้หญิงด้วย และทางกองทุนวิจัยมะเร็งโลก ผู้ประกาศเตือนว่า ความอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็ง ดังต่อไปนี้ คือ มะเร็งมดลูก มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งที่ไต มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งทรวงอก มะเร็งไขกระดูก มะเร็งที่ตับอ่อน มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอน-ฮอดจ์กิ้น และมะเร็งรังไข่

               มีงานวิจัยหลายชิ้นที่พบว่า อัตราการเป็น มะเร็งทรวงอก และมะเร็งต่อมลูกหมาก มีมากในกลุ่มคนที่ทำงานตอนกลางคืน

               มะเร็งกำเนิดจากเซลล์ร่างกายที่สามารถแบ่งเซลล์ได้วิวัฒนาการจนไม่สามารถควบคุมได้ มีกระบวนการวิวัฒนาการโดยการเปลี่ยนแปลงของโครโมโซมนั้นๆทำให้ผลิตเอนไซม์มาสร้างทีโลเมียในเซลล์อย่างไม่หมดสิ้นทำให้เซลล์ไม่สามารถหยุดแบ่งเซลล์ได้ เพิ่มเติม ทีโลเมียเปรียบเหมือนนาฬิกาทีนับถอยหลังไปเรื่อยๆขณะนั้นเซลล์ยังสามารถแบ่งเซลล์ต่อไปโดยทีโลเมียจะหดสั้นลงเรื่อยๆและเมื่อสายทีโลเมียหมดก็จะทำให้เซลล์หยุดแบ่งตัวทำให้มนุษย์ไม่สามารถอยู่ยงคงกระพันต้องหยุดเจริญเติบโต แต่ทีโลเมียของเซลล์มะเร็งไม่หดสั้นลงทำให้เติบโตโดยควบคุมหยุดยั้งไม่ได้

มะเร็งในประเทศไทย

               ในพ.ศ. 2549 ประเทศไทย มีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 66,000 ราย โดยในผู้ชายพบ มะเร็งปอดมากที่สุด 5,535 ราย รองลงมาคือโรคมะเร็งตับ ส่วนผู้หญิงพบ มะเร็งปากมดลูก มากที่สุด 1,484 ราย รองลงมาคือ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม

อาหารต้านมะเร็ง

               นักวิจัยเชื่อว่า พฤติกรรมการดำรงชีวิตมีสัมพันธ์ต่อปัจจัยความเสี่ยงของโรคมะเร็งเป็นอย่างมาก นักวิจัยยังเชื่ออีกว่าการ กว่า หกสิบเปอร์เซ็นต์ของผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรงมะเร็งทั้งหมด อาจจะไม่เสียชีวิตด้วยโรคนี้ ถ้าหากยอมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำรงชีวิต และการพฤติกรรม การกินก็เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้เป็นอย่างมาก อาหารบางประเภท มีสารที่ต้านอนุมูลอิสระได้สูงและป้องกันการเกิดมะเร็งได้ดี เราเรียกอาหารประเภทนี้ว่า อาหารต้านมะเร็ง บร็อคโคลี่, อโวคาโด ,แครอท, และ กะเทียม เป็นหนึ่งในอาหารต้านมะเร็งที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป

สารก่อมะเร็ง

 ตัวอย่างสารก่อมะเร็งในคน ที่สถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติยอมรับ 

  สารก่อมะเร็ง
ที่มา 
 ทางได้รับ
 อวัยวะที่เกิดมะเร็ง
ก.ที่ได้จากอาหารหรือยา

1. สารพิษอะฟล่าหรืออะฟล่าท้อกซิน (Aflatoxin) 



อาหารที่มีราบางชนิดขึ้นที่พบมากได้แก่ ถั่วลิสงบด , ข้าวหมาก, เนย, ถั่วเหลือง ,พริกแห้ง หัวหอมและกระเทียมแห้งที่มีราดำขึ้น



กิน, หายใจ





ตับ
2.ไนโตรซามีน( Nitrosamine) 

อาหารที่มีสารไนเตรท ไนไตรท์ปนอยู่มาก เช่น อาหารหมักดองหรือใส่ดินประสิว, แหนม ไส้กรอก ,กุนเชียง, หมูยอ ปลากระป๋อง และเนื้อกระป๋อง ในผักผลไม้ที่ใส่ปุ๋ยไนเตรตมากๆ 
 กิน
 ตับ,ปอด,ลำไส้
 3.ไซโคลฟอส( Cyclophospamind)

ยารักษามะเร็งหรือโรคไตบางชนิด 

กิน ,ฉีด 


กระเพาะปัสสาวะ 

 4.เมลฟาแลน( Melphalan) 
ยารักษามะเร็ง 
กิน ,ฉีด 

อวัยวะสร้างเลือด 
5.ไดเอลธิลสติลเบสตรอล(Diethyl stibestrol) 

ฮอร์โมนที่เติมให้หญิงในหญิงตั้งครรภ์เพื่อป้องกันการแท้งบุตร(ขณะนี้เลิกใช้แล้ว) 
 กิน
มดลูกและช่องคลอด
ข.ได้รับจากงานอาชีพ,โรงงานอุตสาหกรรมและหรือปนมาในสิ่งแวดล้อม

1. สารประกอบที่มีสารหนู
( Arsenic compound)






โรงงานที่เกี่ยวข้อง,ยาฆ่าแมลงและวัชพืชบางชนิด,โรงงานกลั่นน้ำมัน





หายใจ,กิน,ผิวหนัง





ผิวหนัง,ปอด,ตับ
2.แอสเบสตอส( Asbestos) 
โรงงานที่ทำสารนี้,โรงทอผ้า,ใยแก้วกันความร้อน,อู่ต่อเรือ 
หายใจ,กิน 
 ปอด,ลำไส้
3.เบนซิดีน (Benzidine) 
โรงงานผลิตสี,ผลิตยาง,โรงทอผ้า.โรงย้อมผ้า 
กิน,หายใจ,ผิวหนัง 

กระเพาะปัสสาวะ 

4.สารเคมีแนฟธิลามีน
( 2-Naphthylamine) 
โรงงานผลิตสี,ผลิตยาง,โรงทอผ้า.โรงย้อมผ้า 
กิน 
กระเพาะปัสสาวะ 
5.สารเคมี NN-Bis( 2-chloroethyl)
-2 Naphthylamine
โรงงานผลิตสี,ผลิตยาง,โรงทอผ้า.โรงย้อมผ้า 
หายใจ,ผิวหนัง,กิน 
กระเพาะปัสสาวะ 
6.สารเคมี
Bis chloromethyl ether 
โรงงานสังเคราะห์สารโพลิเมอร์ สารเคมีดังกล่าว, สาร(พลาสติค ),สารเรซิน
หายใจ 
ปอด 
7.สารเคมี
Chloromethyl-methyl ether

โรงงานสังเคราะห์สารโพลิเมอร์ สารเคมีดังกล่าว, สาร(พลาสติค ),สารเรซิน
 หายใจ
 ปอด
8.แก๊ซมัสตาด
Mustard gas
โรงงานอุตสาหกรรม 
หายใจ 
 ปอด-หลอดเสียง
9.ไวนิล คลอไรด์
( Vinyl chloride)
โรงงานสังเคราะห์พลาสติค( polymer) 
หายใจ,ผิวหนัง 
ตับ-สมอง-ปอด 
10. เขม่า( Soot)
      น้ำมันดิน( tar)
      น้ำมันเครื่อง(Oil)
คนงานปั๊มน้ำมัน,ราดยางถนน,เหมืองแร่หรือถ่านหิน,โรงถลุงแร่,โรงงานกลั่นน้ำมัน,โรงทอผ้า,คนงานคุมเครื่องจักรต่างๆ 

หายใจ,ผิวหนัง 
ปอด-ผิวหนัง 

สมุนไพรพลูคาวกับโรคมะเร็ง

รายงานการวิจัยฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของ ผักคาวตองที่เกี่ยวข้องกับ มะเร็ง
1.ฤทธิ์ในการทำลายเซลล์มะเร็ง (Cytotoxicity against tumor cell lines)
2.ฤทธิ์ในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาว (Antiieukemic activity)
      
         ในประเทศจีน มีการใช้ผักคาวตองเป็นส่วนประกอบในตำรับยาผงสำหรับรับประทาน ใช้ในการรักษามะเร็งทางเดินอาหารและมะเร็งทางเดินหายใจ รวมไปถึงเนื้องอกในรังไข่(oophoroma)มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งเต้านม (CN1228310) ใช้ผักคาวตองเป็นส่วนประกอบในตำรับยาสำหรับรักษามะเร็งปอด(CN1178110) เป็นส่วนประกอบในตำรับยาจีนซึ่งกล่าวว่ามีสรรพคุณในการกำจัดความร้อนและสารพิษ เพิ่มการไหลเวียนของเลือด และใช้รักษามะเร็งหลอดอาหาร(CN1141799) ใช้ผักคาวตองเป็นส่วนประกอบในตำรับยารับประทาน สำหรับยับยั้งและทำลายเซลล์มะเร็ง และเพิ่มภูมิต้านทาน (CN1113789) ใช้เป็นส่วนประกอบในตำรับยาในรูป ointment สำหรับใช้ทาภายนอกรักษาเต้านมอักเสบ และมะเร็งเต้านม(CN109989) ใช้ผักคาวตองเป็นส่วนประกอบในตำรับยาทั้งในรูปแบบที่ใช้รับประทาน และป็นยาฉีดสำหรับรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร(CN1100951) ใช้ผักคาวตองเป็นส่วนประกอบในตำรับยาจีนสำหรับรักษามะเร็ง และรักษาอาการข้างเคียงที่เกิดจากการใช้รังสีรักษา และเคมีบำบัด(CN1098932) ใช้ผักคาวตองเป็นส่วนประกอบในตำรับยาน้ำรับประทาน รักษาโรคมะเร็งลำไส้ส่วน rectum มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งหลอดอาหาร และมะเร็งเต้านม (CN1105246)


โดกุดามิผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ผลิตจากผักพลูคาว 99.3%

ภาพผู้ป่วยที่ใช้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมโดกุดามิ

   
                                 




วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐพลูคาวต้านเชื้อนรก

พลูคาว คาวตองต้านเชื้อนรก ไข้หวัดใหญ่  2009
คาวตอง สมุนไพร มีคุณสมบัติต้านไข้หวัดใหญ่ 2009       

              พบสมุนไพรไทย "คาวตอง" สุดเจ๋งมีคุณสมบัติพิเศษในการรักษา การติดเชื้อ ต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ เตรียมศึกษาเชิงลึก เพื่อพัฒนาเป็นยาต้านเชื้อหวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
              เรื่อง ราวการค้นพบสมุนไพรไทย มีสรรพคุณวิเศษในการยับยั้งเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ซึ่งคาดว่าจะสามารถนำมาพัฒนาเป็นยารักษาไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และมะเร็ง รวมถึงโรคเอดส์ได้นั้น ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม ที่โรงแรมสยามซิตี้ ดร.ศุภชัย หล่อโลหการ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กล่าวภายในการประชุมระดมความคิดเห็นเรื่อง "การใช้นวัตกรรมเพื่อป้องกันการระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009" ว่า สนช. มีนโยบายในการสนับสนุนภาคเอกชนในการวิจัย และพัฒนาพืชสมุนไพร เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ ล่าสุดได้มีการค้นพบสมุนไพรพื้นบ้านที่เรียกว่า "คาวตอง"  ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้าน พบมากทางภาคเหนือของประเทศไทย
  
              ลักษณะ "คาวตอง" เป็น พืชล้มลุก และมีใบคล้ายใบพลู กลิ่นค่อนข้างแรงเหมือนคาวปลา บางครั้งนำไปเป็นส่วนประกอบของอาหาร แต่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก เพราะมีกลิ่นแรง ไม่หอมเหมือนใบโหระพา หรือใบกะเพรา ที่ผ่านมานักวิจัยต่างชาติได้ศึกษาสารสกัดของคาวตองพบว่า มีคุณสมบัติต้านเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อไวรัสได้ดี อีกทั้ง ยังมีความเป็นไปได้ในการยับยั้งเชื้อมะเร็ง และมีแนวโน้มที่จะต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้ ซึ่ง ต้องมีข้อมูลทางวิชาการมารองรับ ก่อนจะนำไปพัฒนาเป็นยาต้านเชื้อไวรัสต่อไป คาดว่าใช้เวลาการวิจัย และพัฒนาสกัดมาเป็นยารักษาโรคดังกล่าวได้อีกประมาณ 2 ปีข้างหน้า

          ขณะที่ทั่วโลกยังหวาดผวากับการแพร่ระบาดของโรค ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เกิดจากเชื้อ A/ H 1 N 1 เนื่องจากเชื้อหวัดนี้ยังคร่าชีวิตพลเมืองของนานาประเทศอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังไม่มีวัคซีนหรือยารักษาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้สถิติยอดผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ทั่วโลก เพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยล่าสุด (1 มิถุนายน) ไทยพบผู้ติดเชื้อแล้วประมาณ 4 คน ซึ่งทางการไทยได้วิงวอนให้ผู้ที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ หากมีอาการป่วย ควรไปให้แพทย์ตรวจอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันเชื้อโรคระบาดในประเทศไทย








           ไทยใจชื้นหลังสำนักงานนวัตกรรม แห่งชาติพบสมุนไพรพื้นบ้าน "คาวตอง" มีคุณสมบัติพิเศษในการรักษา การติดเชื้อ ต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้ เตรียมศึกษาเชิงลึก เพื่อพัฒนาเป็นยาต้านเชื้อหวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ด้านผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุของค์การอนามัยโลกยอมรับการแพร่ระบาดของเชื้อหวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อยู่เหนือความคาดหมาย และพบนัยใหม่ คนวัย 50 อัพ ไม่ใช่กลุ่มเสี่ยงติดเชื้อ แต่เด็ก-คนวัยทำงาน กลับเสี่ยงติดเชื้อและตายมากกว่า เหตุเพราะขาดภูมิต้านทาน เชื่ออนาคตเชื้อหวัดมรณะจะดื้อยาโอเซลทามิเวียร์ ส่วนหมอไทยชี้เส้นทางแพร่ระบาดของเชื้อหวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ผกผันกับเชื้อหวัดนก คือเริ่มจากเมืองสู่ชนบท เตือนกรุงเทพฯ จะรับมือการแพร่ระบาดได้ยาก ระบุโรงเรียนเป็นแหล่งที่ต้องดูแลมากเป็นพิเศษ

          ในขณะที่ทั่วโลกยังคงผวากับการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เกิดจากเชื้อเอ/ เอช 1 เอ็น 1 เนื่องจากเชื้อหวัดมรณะนี้ยังคร่าชีวิตพลเมืองของนานาประเทศอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ก็ยังไม่มีวัคซีน หรือยารักษาแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้น ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 28 พ.ค. ว่า จากการเปิดเผยของนายศุภชัยหล่อโลหการ ผอ.สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) ว่า ขณะนี้ สนช. สนับสนุนงบประมาณการวิจัยพืชสมุนไพรทางการแพทย์ เพื่อรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดต่างๆ รวมทั้งเชื้อไข้หวัดใหญ่ 2009 ล่าสุดได้มีการค้นพบสมุนไพรพื้นบ้านที่เรียกว่า "คาวตอง" หรือ "พลูคาว" ซึ่งเป็นพืชสมุนไพรพื้นบ้านของไทยตระกูลเดียวกับพลู พบมากทางภาคเหนือของประเทศ ลักษณะเป็นพืชล้มลุกชนิดเถา มีกลิ่นค่อนข้างคาวเหมือนคาวปลา แต่มีคุณสมบัติพิเศษในการรักษาการติดเชื้อ รักษาแผล รักษามะเร็ง ต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรียได้

           นายศุภชัยกล่าวอีกว่า สมุนไพรดังกล่าวชาวบ้านทางภาคเหนือนำไปเป็นส่วนผสมของอาหาร แต่ไม่ได้รับความนิยมมาก เพราะมีกลิ่นแรง ไม่หอมเหมือนใบโหระพาและกะเพรา อย่างไรก็ตาม สมุนไพรดังกล่าวได้รับความนิยมมากในประเทศเกาหลี อินเดีย และกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในการนำสมุนไพรดังกล่าวไปรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง โรคริดสีดวงทวารโรคติดเชื้อ เป็นต้น ขณะที่ สนช. ได้ร่วมกับ รศ.ดร.นพ. กำพล ศรีวัฒนกุล ประธานบริษัท ไบโอคอนซัลท์ จำกัดดำเนินการวิจัยสมุนไพรคาวตอง โดยจะศึกษาคุณสมบัติเชิงลึกว่าทำงานได้อย่างไร และมีประโยชน์ในการต้านไวรัสชนิดใดได้บ้าง คาดว่าใช้เวลาการวิจัยและพัฒนา 2 ปี

          ด้าน รศ.ดร.นพ.กำพล กล่าวว่า เตรียมหารือกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อศึกษาคุณสมบัติของคาวตอง ว่าสามารถนำมาพัฒนาเป็นยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ได้หรือไม่ เชื่อว่าจะสามารถต้านเชื้อไวรัสชนิดอื่นๆได้เช่นกัน โดยเฉพาะเชื้อเอชไอวี โดยอาจต้องใช้ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่น เช่น ฟ้าทะลายโจร ซึ่งมีคุณสมบัติเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย และในต้นเดือน มิ.ย.นี้ จะหารือกับกลุ่มแพทย์จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อที่จะพัฒนาวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009

           นอกจากนี้ วันเดียวกัน มูลนิธิส่งเสริมการศึกษาไข้หวัดใหญ่ ได้เผยแพร่ข้อสรุปจากงานเสวนาโรคไข้หวัด ใหญ่และโรคติดต่ออุบัติใหม่ ที่จัดร่วมกับกรมควบคุมโรคกระทรวงสาธารณสุข ที่ จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 21-22 พ.ค.ที่ผ่านมา โดย นพ.ริชาร์ด บราวน์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจากองค์การอนามัยโลก ยอมรับว่าสถานการณ์ของการแพร่ ระบาดของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 อยู่เหนือความคาดหมายขององค์การอนามัยโลก เพราะเป็นการระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ/เอช 1 เอ็น 1 ที่มีรหัสพันธุกรรมมาจากไข้หวัดในหมู คน และนก ซึ่งจากการเฝ้าสังเกตโรคนี้พบว่า กลุ่มผู้ที่มีอายุสูงกว่า 50 ปี ไม่ตกอยู่ในกลุ่มผู้เสี่ยงติดเชื้อ สันนิษฐานว่าเนื่องจากร่างกายมีประสบการณ์ ในการต่อสู้กับเชื้อไวรัสไข้หวัดมาหลายประเภทแล้วจนเกิดภูมิต้านทานขึ้น แต่กลุ่มวัยรุ่น และคนทำงานกลับเป็นกลุ่มที่เสี่ยงและมีอัตราการเสียชีวิตมากกว่า ซึ่งตรงข้ามกับกรณีไข้หวัดประจำปีที่กลุ่มเสี่ยงจะเป็นกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ และหากเทียบกับไข้หวัดนกแล้วยังไม่พบกลุ่มอายุใดที่มีภูมิต้านทานอยู่เลย ซึ่งนับว่ารุนแรงกว่า ขณะเดียวกันยังพบว่าเชื้อเอช 5 เอ็น 1 ของไข้หวัดนกมีการดื้อยาโอเซลทามิเวียร์ และมีความน่าจะเป็นที่เชื้อไวรัสชนิดเอ 1 เอช 1 เอ็น 1 จะมีการดื้อยาประเภทเดียวกัน

           ด้าน นพ.ทวี โชติพิทยสุนนท์ ประธานคณะยุทธศาสตร์และแผนในการต่อสู้โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 กล่าวว่า เมื่อเทียบเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ฯ กับไข้หวัดนกพบว่า มีลักษณะตรงข้ามกัน เพราะไข้หวัดนกเป็นโรค ระบาดจากชนบทเข้ามาสู่เมือง แต่ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ ใหม่ ระบาดจากเมืองสู่ชนบท กรุงเทพฯ ที่เป็นเมืองท่าสำคัญ มีคนเดินทางเข้าออกตลอดเวลา จึงน่าจับตามองที่สุด โดยเฉพาะในด้านการเตรียมความพร้อมรับมือการระบาดสำหรับคนในกรุงเทพฯ ไม่ใช่เรื่องง่าย และที่สำคัญโรงเรียนเป็นแหล่งที่ต้องดูแลมากเป็นพิเศษ

          นพ.ทวีระบุด้วยว่า จากการเฝ้าติดตามในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา พบว่าโรคนี้สามารถแพร่กระจายไปสู่คนใกล้ตัว ผู้ป่วยได้มากเป็นเท่าตัวของไข้หวัดใหญ่ประจำปี ทุกคนมีสิทธิ์จะติดเชื้อนี้ได้ เพราะยังไม่มีใครมีภูมิคุ้มกัน และโรคนี้จะโจมตีคนที่อายุน้อยในช่วงอายุ 5-15 ปีถึงร้อยละ 61 และอายุมากกว่า 15 ปี ร้อยละ 29 และอาจจะมีการตายสูงกว่าไข้หวัดใหญ่ประจำปีเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการแพร่ระบาด และเชื่อว่าโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่จะเกิดระลอก 2 และ 3 ตามมาอีก จึงจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมรับมือให้ดี

          ส่วนความตื่นตัวในการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อหวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในจังหวัดต่างๆนั้น ที่ จ.เชียงราย นายปรีชา พัวนุกุลนนท์ รองนายกเทศมนตรี รักษาราชการแทนนายกเทศมนตรีนครเชียงราย เปิดเผยว่า กระทรวงมหาดไทยมีหนังสือสั่งการแจ้งถึงผู้ว่าราชการ จังหวัดทุกจังหวัด จัดตั้งศูนย์อำนวยการเตรียมความพร้อมป้องกันและควบคุมแก้ไขสถานการณ์การระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่ จึงขอแจ้งประชาสัมพันธ์ข้อแนะนำแก่ประชาชน ทั่วไปในการปฏิบัติตนดังนี้คือ หากไม่จำเป็นควรเลื่อนหรือชะลอการเดินทางไปยังประเทศที่เป็นพื้นที่เกิดการระบาด จนกว่าสถานการณ์จะยุติลง และหากจำเป็นต้องเดินทางไปพื้นที่เกิดการระบาด ให้หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการไอ หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ  หรือเช็ดมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อแนะนำของทางการในพื้นที่นั้นๆ อย่างเคร่งครัด และผู้ที่เดินทางกลับมาจากพื้นที่เกิดการระบาด ถ้ามีอาการของไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยเนื้อตัวมาก ภายใน 7 วันหลังจากเดินทางกลับ ควรสวมหน้ากากอนามัย หรือใช้กระดาษทิชชู หรือผ้าเช็ดหน้าปิดปากจมูกทุกครั้งที่ไอจาม และรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาและคำแนะนำในการปฏิบัติอย่างเข้มงวด

            เช่นเดียวกับที่ จ.อุตรดิตถ์ และ จ.สงขลา ก็มีการซักซ้อมแนวทางปฏิบัติในการควบคุมป้องกันไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 แบบเสมือนจริง เพื่อเฝ้าระวังและรับมือหากพบผู้ติดเชื้อหวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ด้วย

             สำหรับความคืบหน้าสถานการณ์ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ในประเทศต่างๆทั่วโลก สำนักข่าวต่างประเทศรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตจากเชื้อหวัดเอ/เอช 1 เอ็น 1 ทั่วโลกพุ่งแล้วถึง 100 ราย โดยเป็นผู้เสียชีวิตรายใหม่ ในสหรัฐอเมริกา 1 ราย เม็กซิโก 4 ราย ส่วนผู้ติดเชื้อตามรายงานขององค์การอนามัยโลก มีจำนวน 13,398 ราย ใน 48 ประเทศ เฉพาะที่เม็กซิโก ผู้ติดเชื้อรวมทั้งหมด 4,821 ราย ผู้เสียชีวิต 89 ราย ส่วนผู้เสียชีวิตในสหรัฐฯ 15 ราย และพบผู้เสียชีวิตในรัฐอิลลินอยส์รายแรก นอกเหนือจากที่ก่อนหน้านี้มีผู้เสียชีวิตแล้วในรัฐเท็กซัส อริโซนา ยูทาห์ มิสซูรีและรัฐวอชิงตัน ขณะที่ผู้ป่วยติดเชื้อในสหรัฐฯ ยังมากที่สุดอยู่ที่ 7,900 ราย

           ที่แคนาดา ทางการแถลงระบุตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่อยู่ที่ 1,118 ราย เพิ่มขึ้น 197 ราย ยอดผู้เสียชีวิตในแคนาดาอยู่ที่ 2 ราย ผู้ป่วยอยู่ในเขตเมืองออนตาริโอ มณฑลควิเบค 207 ราย บริติชโคลัมเบีย 120 ราย อัลแบร์ตา 109 ราย

            ขณะเดียวกัน สำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์ของรัสเซียรายงานยืนยัน พบผู้ติดเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2 ราย โดยผู้ติดเชื้อรายหนึ่งเพิ่งเดินทางกลับมาจากสาธารณรัฐโดมินิกัน ส่วนอีกรายเพิ่งเดินทางกลับมาจากสหรัฐฯ อาการป่วยของทั้งคู่ยังไม่น่าวิตก ส่วนที่สโลวะเกีย กระทรวงสาธารณสุขแถลงพบผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ รายแรกของประเทศ แต่ไม่เปิดเผยรายละเอียดของผู้ป่วย

            ส่วนที่ออสเตรเลีย ทางการสั่งกักบริเวณเรือสำราญลำหนึ่ง ซึ่งมีผู้โดยสารและลูกเรือราว 2,000 คน ขณะแวะจอดเทียบท่าในรัฐควีนแลนด์ ทางภาคเหนือ หลังพบลูกเรือ 3 คน กับผู้โดยสารอีก 1 คน มีอาการป่วยต้องสงสัยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในออสเตรเลีย อยู่ที่ 103 ราย เพิ่มจากเดิมร่วม 40 ราย

แหล่งที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
http://www.thairath.co.th/today/view/9215